วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หมามุ่ย

หมามุ่ย มีคุณค่ารักษาโรค มากกว่ามองแค่ไวอาก่าป่า


              หมามุ่ยจะพบได้ในประเทศเขตโซนร้อน(tropical)เช่นแอฟริกาและประเทศแถบเอเซีย เช่นไทย พม่า ลาว จีน อินเดีย เป็นต้นและเรียกชื่อต่างกันตามภูมิภาค ในหลายๆประเทศแพทย์ได้จ่ายเป็นยาให้ผู้ป่วย เป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ประเทศไทยเพิ่งรู้ถึงสรรพคุณ. เมล็ดหมามุ่ยในประเทศไทยมีสรรพคุณต่างๆไม่เป็นรองของประเทศอินเดียและ ประเทศจีน พิสูจน์แล้วและเห็นผลจริงจึงแนะนำให้ใช้เพราะราคาถูกกว่าและมีคุณภาพเหมือนกับของประเทศอินเดียและจีน เมล็ดหมามุ่ยที่เกิดในประเทศไทยพอที่
     
            จะแบ่งคุณลักษณะทางกายภาพได้ดังนี้คือ
 1. ขนาดของเมล็ดหมามุ่ย
 2. สีและลวดลายของเมล็ดหมามุ่ย
 3. สรรพคุณทางยาของเมล็ดหมามุ่ย
 4. ชนิดขนคัน-ขนไม่คันของเมล็ดหมามุ่ย


1. ขนาดของเมล็ดหมามุ่ย
         ในปัจจุบันสามารถบ่งบอกที่มาของถิ่นกำเนิดได้ แต่-ในอนาคตอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจจะไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ เพราะมีการนำเมล็ดพันธ์ไปปลูกกระจัดกระจายปะปนกันทั่วประเทศ แต่ณ.ปีนี้(2556)ยังพอแยกแยะใด้ดังนี้คือ. 1.1 หมามุ่ยสายพันธ์เมล็ดเล็ก 1.2หมามุ่ยสายพันธ์เมล็ดใหญ่

2.สีและลวดลายของเมล็ด
         พอจะแบ่งใด้ดังนี้คือ
            2.1 สีขาว ,ขาวครีม,ขาวอมเหลือง(สีเหมือนถั่วเหลือง)
            2.2 สีขาว มีลายเส้น,จุด ที่เราเรียกว่าหมามุ่ยลาย
            2.3 สีน้ำตาล,สีน้ำตาลเข้ม เหมือนสีเมล็ดกาแฟ
            2.4 สีดำธรรมดาไม่เงา,สีดำสนิทและเงาเหมือนนิล

3. สรรพคุณทางยาของเมล็ดหมามุ่ย ต้องขอออกตัวอีกครั้ง ว่าข้อมูลที่จะเล่าให้ฟังนี้ไม่ใด้มาจากงานวิจัย แต่ได้มาจากประสพการณ์ ซึ่งสรรพคุณทางยานี้พอจะสรุปได้จากประสพการณ์ดังนี้คือ 
            3.1 เมล็ดหมามุ่ยสีขาว,ขาวครีม,ขาวอมเหลือง,หมามุ่ยลาย มีสรรพคุณทางยาน้อย
            3.2 เมล็ดหมามุ่ยสีดำเงาเหมือนนิล,สีดำธรรมดา,สีน้ำตาลเข้ม จะมีสรรพคุณทางยามากกว่า สรุปสรรพคุณทางยา จำแนกจากสีของเมล็ดหมามุ่ย ดีมาก= เมล็ดหมามุ่ยสีดำเงาเหมือนนิล,เมล็ดหมามุ่ยสีดำธรรมดา,สีน้ำตาลเข้มเหมือนเมล็ดกาแฟ ดี=เมล็ดหมามุ่ยสีน้ำตาล,หมามุ่ยลาย น้อย-น้อยมาก=เมล็ดหมามุ่ยสีขาว,ขาวครีม,ขาวอมเหลือง. คล็ดลับ พิสูจน์ว่ามีสรรพคุณดีมาก-น้อยเพียงใด ใช้วิธีเคี้ยวดิบๆแล้วคลายทิ้ง (ห้ามกลืน) จะทราบถึงความต่างกัน จากลิ้นสัมผัสเมล็ดหมามุ่ยที่มีสรรพคุณดีมากกว่า จะมีรสชาติที่ขมเข้มข้น จี๊ดจ๊าด กว่า

4. หมามุ่ยชนิดขนคัน-ขนไม่คัน หมามุ่ยในประเทศไทยมีสายพันธ์ขนคันและขนไม่คัน
           4.1 หมามุ่ยชนิดขนคัน มีทั้งสายพันธ์เมล็ดเล็กและสายพันธ์เมล็ดใหญ่ ลักษณะของขนจะยาวและแข็งขนจะมีสารพิษ ถ้าเราถูกขนจะเกิดอาการคัน วิธีแก้ของเราไม่เหมือนของทางการแพทย์สมัยใหม่ทีใช้คาลาไมน์ หรือของคนสมัยก่อนที่ใช้ข้าวเหนียวมาคลึงออกแต่ของเราเมื่อสัมผัสกับขนของเมล็ดหมามุ่ย แล้วเกิดพิษเราจะใช้วิธี นำผ้าชุบน้ำเอนไซม์ที่เรามีอยู่ (กลับไปอ่านเอนไซม์คือ..)เช็ด-ถูเบาๆ เพียง 3-5 นาที ก็หายเป็นปกติ (น้ำเอนไซม์จะไปถอนล้างพิษออกจากผิวหนัง)

        หมามุ่ยชนิดมีขนคันนี้จะมีสรรพคุณทางยาจำแนกตามสีของเมล็ด(ข้อ3.2)ดังกล่าวข้างต้น.   หมามุ่ยไม่คัน ไม่มีสรรพคุณทางยา
           4.2 หมามุ่ยชนิดขนไม่คัน เท่าที่พบมีสายพันธ์เมล็ดใหญ่ชนิดเดียว ไม่ได้ขึ้นเองตามธรรมชาติ ลักษณะของขนจะสั้นเหมือนถั่วแระญี่ปุ่นและขนจะไม่มีพิษ ลักษณะของใบ ใบจะใหญ่กว่าของหมามุ่ยชนิดขนคัน และดอกจะมีช่อที่ใหญ่และยาวกว่า สีของดอกจะมีทั้งช่อดอกสีม่วงและช่อดอกสีขาว ช่อดอกสีม่วงเมื่อเป็นเมล็ดจะเป็นเมล็ดสีดำ ช่อดอกสีขาวเมล็ดจะเป็นเมล็ดสีขาว หมามุ่ยชนิดขนไม่คันนี้มีแทบทุกภาคของประเทศหรือแทบทุกจังหวัดก็ว่าได้ เมล็ดจะใหญ่กว่าเมล็ดหมามุ่ยชนิดขนคันมาก สามารถแยกแยะด้วยตาเปล่าได้ สรรพคุณของหมามุ่ยชนิดขนไม่คัน ไม่มีสรรพคุณทางยา แต่ชาวบ้านมักจะปลูกกันกินเป็นอาหาร โดยเด็ดยอดดอกอ่อนมาจิ้มน้ำพริก หรือนำเมล็ดมาต้มกินเหมือนต้มถั่วแระ รสชาติจะออกมันๆ ยิ่งกินยิ่งมัน หมามุ่ยไม่คันนี้มีชื่อเรียกต่างกันตามภูมิภาค เช่นเรียกว่า ถั่วยักษ์,ถั่วครก,ถั่วพร้า,ถั่วอีโต้,ถั่วขอ เป็นต้น.
                           สมเจตน์ จิตธรรมพงศ์ ผู้เขียน

คำเตือนผู้ที่คิดจะปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ

              แรกเริ่มของการปลูกหมามุ่ยนั้นง่ายแสนง่าย ไม่ต้องดูแลรักษา ไม่ต้องใส่ปุ๋ย แต่เมื่อถึงฤดููเก็บเกี่ยวจะหาแรงงานไม่ได้ เพราะแรงงานจะไม่อยากเก็บเกี่ยว ถึงแม้จ่ายค่าแรงแพงๆเขาก๊ไม่ทำ โดยเฉพาะเมื่อถึงขั้นตอนการแยกเมล็ดออกจากเปลือกและขน ขนจะทำให้คนงานคันสุดๆ(ยาก-ลำบากที่สุดคือขั้นตอนนี้)คนงานบางคนเกิดอาการแพ้ ต้องเข้าโรง-พยาบาล เพราะฉะนั้นต้องเตรียมหาแรงงานพร้อมที่จะผจญกับความคันให้ได้เสียก่อน ณ.ปัจจุบันมีการปลูกหมามุ่ยกันจำนวนนับร้อยๆไร่ แต่หาแรงงานไม่ได้ แรงงานมีเฉพาะครอบครัวของตัวเองเพียงไม่กี่คน ทำให้เก็บผลผลิตไม่ทัน ลงทุนไปสูญเปล่า ต้นหมามุ่ยกลายเป็นวัชพืช ลามไปในที่ดินของเพื่อนบ้านข้างเคียงเกิดปํัญหากระทบกระทั่งกัน. จึงเตือนมายังผู้คิดจะปลูกให้หาแรงงานที่ไม่แพ้ขน,กล้าเก็บและคุ้นเคยกับหมามุ่ย เท่านั้นจึงจะประสพความสำเร็จ.













สมเจตน์ จิตธรรมพงศ์ ผู้เขียน

อ้างอิง: ปัจจุบันมาการทำเป็นยาสมุนไพรเชิงอุตสาหกรรม

            1. สรรพคุณหมามุ่ย (คลิ๊ก)


Add to Cart More Info

น้ำนมราชสีห์เล็ก-ใหญ่

ต้นน้ำนมราชสีห์เล็กกับใหญ่ เป็นสมุนไพรโบราณที่สรรพคุณทางยาสูงมาก คนสมัยก่อนใช้กันเป็นแต่คนรุ่นใหม่ไม่รู้คุณค่าของยา และเห็นเป็นเพียงวัชพืชเสียมากกว่า เมื่อรู้คุณค่าแล้วพบเจอที่ไหนก็ช่วยกันอนุรักษ์ไว้บ้างนะครับ..และฝึกใช้ให้ชำนาญยาสมุนไพร ประหยัดเงิน และมีความเข้าใจอาจจะใช้ได้เมื่อฉุกเฉินด้วยครับ
น้ำนมราชสีห์เล็ก


น้ำนมราชสีห์ใหญ่

น้ำนมราชสีห์ใหญ่ สรรพคุณและประโยชน์ของน้ำนมราชสีห์ 60 ข้อ ! (คลิ๊ก)


Add to Cart More Info

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โทงเทง

         

             โทงเทง เด็กบ้านทุงรุ่นเก่าก่อนน่าจะเห็นรูปแล้วร้องอ๋อ.. เพราะขึ้นอยู่รอบ ๆบ้าน หรือตามคันนา แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดิน เป็นจำพวกพืชล้มลุก วัชพืช แต่อุดมด้วยสรรพคุณทางยาอย่างมากมาย.. ก่อนที่จะมีห้องวิจัยรู้ถึงคุณภาพทางยาสมุนไพร ก็เล่นเอาหาดูได้ยาก ต้องมาเก็บอนุรักษ์กันอีกครับ  ซึ่งก็ยังไม่สายยังพอหาได้ แต่ยากขึ้นแล้ว เอามาปลูกเป็นไม้ประดับแล้วใช้เป็นผลไม้ เป็นยาต้องดีแน่แท้..


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Physalis angulata L.



ชื่อสามัญ : Hogweed, Ground Cherry


วงศ์ : SOLANACEAE


ชื่ออื่น : ต้อมต๊อก บาตอมต๊อก (เชียงใหม่) ตะเงหลั่งเช้า (จีน) ปุงปิง (ปัตตานี) ปิงเป้ง (หนองคาย)

"โทงเทง บ่าตอมต๊อก หญ้าเถาเถง ปุงปิง ปิงเป้ง เตงหลั่งเช้า เคพกูสเบอร์รี่ ฯลฯ หญ้าข้างทางสมุนไพรเป็นยาได้ทั้งต้น"

             ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นอวบน้ำเปลือกเกลี้ยงสีเขียว โคนสีม่วงแดงและสีค่อย ๆ จางลงเป็นสีเขียวใสเป็นเหลี่ยม ยอดเป็นสีเขียวอ่อน ลำต้นสูงประมาณ 25 - 50 เซนติเมตร สูงเต็มที่ 120 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขา ใบ เป็นใบเดี่ยวสีเขียวเรียงสลับออกตามข้อ ๆ ละใบ มีก้านยาว 2 - 3 เซนติเมตร ลักษณะใบคล้ายใบพริก รูปหอกป้าน ปลายแหลมและขอบใบเรียบ ใบกว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 4 - 7 เซนติเมตร มีเส้นแขนงใบ 5 - 7 คู่ดอก ออกระหว่างก้านใบกับลำต้น ดอกเล็กคล้ายดอกพริก แต่กลีบดอกสั้นและแข็งกว่า ดอกตูมทรงรีปลายแหลม เวลาบานเป็นรูปแตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 - 2 เซนติเมตร กลีบดอกชั้นในมีสีเหลืองอ่อน กลีบดอกชั้นนอกหรือกลีบเลี้ยงมีสีเขียวอ่อน จำนวน 5 กลีบ ซึ่งจะเจริญเติบโตขยายตัวหุ้มผลภายในไว้หลวม ๆ ทำให้ดูเสมือนว่าผลพอง ออกดอกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เรื่อยไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน ผล ผลโทงเทงมีกลีบดอกชั้นนอกหุ้มเหมือนโคมจีนสีเขียวอ่อนมีลายสีม่วง ผลภายในมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร ผลกลมใสมีสีเขียวอ่อน และเมื่อสุกกลายเป็นสีเหลือง เมล็ด ในผลมีเมล็ดขนาดเล็กมีจำนวนมาก รูปกลมแบน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.2 - 0.3 มิลลิเมตร มีเมือกหุ้มคล้ายมะเขือเทศจำนวนมาก
ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น ราก เยื่อหุ้มผลแห้ง


สรรพคุณ :

ทั้งต้น - รักษาดีซ่าน ไอหืดเรื้อรัง แผลมีหนอง เจ็บคอ

ราก - ใช้ขับพยาธิ รักษาโรคเบาหวาน


วิธีและปริมาณที่ใช้

ยารักษาโรคหืด
              ใช้ทั้งต้นแห้ง 1/2 กิโลกรัม ต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลกรวดลงไปให้หวาน รับประทานครั้งบะ 1/4 ถ้วยแก้ว วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารเป็นเวลา 10 วัน หยุดยา 3 วัน รับประทานต่อไปอีก 10 วัน พักอีก 3 วัน แล้วรับประทานต่อไปอีก 10 วัน หอบหืดจะได้ผลดี

ข้อควรระวัง - ในการรับประทานสมุนไพรโทงเทงนี้ใน 1-5 วันแรก บางคนอาจมีอาการอึดอัด เวียนศีรษะ นอนไม่หลับ หงุดหงิด หลังจากนั้นอาหารเหล่านี้จะหายไปเอง

ยารักษาแผลในปาก เจ็บคอ
- ใช้เยื่อหุ้มผลแห้งที่เอาเมล็ดออกแล้วหนัก 10 กรัม เปลือกส้ม 6 กรัม ต้มกับน้ำผสมน้ำตาลกรวดพอหวานเล็กน้อย ใช้ดื่มแทนน้ำ
- ใช้ทั้งต้น ตำละลายกับสุรา เอาสำลีชุบน้ำยาอมไว้ข้างแก้ม กลืนน้ำผ่านลำคอทีละน้อย แก้ต่อมน้ำลายอักเสบ (ต่อมทอนซิล) แก้ฝีในลำคอ (แซง้อ) หรือ ละลายกับน้ำส้มสายชูก็ได้ แก้ความอักเสบในลำคอได้ดีมาก
-ใช้ภายใน แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ภายนอก แก้ฟกบวมอักเสบ ทำให้เย็น

ยาขับพยาธิ รักษาโรคเบาหวาน
ใช้รากต้มกับน้ำรับประทาน




Add to Cart More Info

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทุเรียนเทศ พิฆาตมะเร็งร้าย



                 ทุเรียนเทศ หรือ ทุเรียนน้ำ รักษามะเร็งได้จริงหรือไม่ สรรพคุณทุเรียนน้ำดีขนาดไหนกัน ทำไมจึงกลายมาเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมาเนิ่นนานตั้งแต่โบราณเช่นนี้

               กลายเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง สำหรับกระแสสมุนไพรต้านมะเร็ง ขจัดโรคร้ายด้วยพลังของธรรมชาติ ที่ล่าสุดก็ได้มีผลไม้อีกชนิดหนึ่งซึ่งว่ากันว่าสามารถขจัดโรคมะเร็งได้อย่างชะงัด แถมยังออกฤทธิ์ดีกว่าการเข้ารบการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดถึง 10,000 เท่า โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง ทั้งยังไม่สร้างความเสียหายต่อเซลล์สวนอื่น ๆ ในร่างกายด้วย ซึ่งผลไม้ชนิดนี้ก็คือ ทุเรียนน้ำ หรือทุเรียนเทศนั่นเอง

               สำหรับทุเรียนน้ำ (Guyabano หรือ Sour Sop) เป็นผลไม้ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนักในบ้านเรา มีชื่อเรียกหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียนเทศ ทุเรียนแขก หรือหมากเขียบหลด โดยทุเรียนน้ำเป็นผลไม้แถบร้อน มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบได้มากทางตอนใต้ของประเทศไทย ในมาเลเซียและสิงคโปร์ และในแถบรัฐปีนังของมาเลเซียก็จะพบว่ามีการน้ำทุเรียนน้ำมาแปรรูปเป็นน้ำทุเรียนเข้มข้นซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากด้วย

               และในการปลูกทุเรียนน้ำก็สามารถทำได้ไม่ยาก เพราะทุเรียนน้ำนั้นใช้วิธีขยายพันธุ์โดยเมล็ด ซึ่งเพียงแค่นำเมล็ดมาแช่น้ำทิ้งไว้ 1-2 วัน ก่อนนำไปเพาะเลี้ยงในดินผสมปกติ ต้นทุเรียนน้ำก็จะงอกขึ้นมาได้ภายใน 7 วัน แต่ต้นกล้าจะโตช้าและออกดอกเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่า 3 ปี ก่อนจะให้ผลได้ในปีที่ 4 ได้ผลผลิตประมาณปีละ 1.5 - 2 ตันต่อไร่ หรือจะใช้วิธีขยายพันธุ์แบบเสียบยอดและทาบกิ่งก็ได้ โดยต้นทุเรียนน้ำนี้จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่มีความชุ่มชื้น ระบายน้ำได้ดี ในไทยคนมักนิยมปลูกไว้เป็นไม้ประดับในบ้าน 



    สรรพคุณของทุเรียนน้ำ

               ตั้งแต่สมัยโบราณ ทุเรียนน้ำเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคในแถบแอฟริกาใต้ โดยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนตั้งแต่ราก ต้น เมล็ด ใบ ดอก ผล และเมล็ด ดังนี้

                ผล - แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้โรคบิด กระตุ้นการผลิตน้ำนมแม่

               
     เมล็ด - ใช้สมานแผลห้ามเลือด ใช้ฆ่าแมลง

               
     ใบ - นำมาขยี้ผสมกับปูนใช้ทาบริเวณท้องแก้ท้องอืด ใช้รักษาโรคผิวหนัง เมื่อนำมาปูรองให้คนที่เป็นไข้นอนจะช่วยลดไข้ แก้ไอ ปวดตามข้อ ลดอาการปวด ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้ ขยายหลอดเลือดป้องกันความดันสูง กำจัดเซลล์มะเร็ง ฆ่าเชื้อโรค ลดเบาหวาน

               
     หน่ออ่อน - กำจัดเซลล์มะเร็ง

               
     ดอก - บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ

               
     ราก  -กำจัดแมลง

               
     เปลือกไม้ - กำจัดแมลง ฆ่าเชื้อโรค พยาธิ อะมีบา แบคทีเรีย และรักษาโรคกระเพาะ
    ทุเรียนน้ำกับการรักษามะเร็ง

               แม้ว่าจะมีสรรพคุณมากมาย แต่สรรพคุณเด่นที่โด่งดังที่สุดของทุเรียนน้ำก็คือความสามารถในการรักษาโรคมะเร็ง ฆ่าเซลล์มะเร็งอย่างได้ผลและไม่เป็นอันตราย โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสาร แอนโนนาเชียส เอคโทจีเนียส (Annonaceous acetogenins) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในทุเรียนน้ำ และสามารถต้านทำลายเซลล์มะเร็งทุกชนิด รวมไปถึงการฆ่าแบคทีเรียและเชื้อราอย่างได้ผลชะงัด

               อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้มีผลการรับรองจากห้องทดลองหลายแห่งรวมทั้งสถาบันมะเร็งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทุเรียนน้ำนั้นสามารถช่วยในการฆ่าเซลล์มะเร็งได้ถึง 12 ชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แถมมหาวิทยาลัยคาทอลิกในเกาหลีใต้ยังได้ยืนยันอีกว่าฤทธิ์ของทุเรียนน้ำในการฆ่าเซลล์มะเร็งนั้น มีฤทธิ์มากกว่าการทำเคมีบำบัดถึง 10,000 เท่า โดยไม่ส่งผลร้ายต่อเซลล์เนื้อเยื่อดีอื่น ๆ ในร่างกายของคนไข้ แถมในรายที่เกิดอาการดื้อยามะเร็ง ก็ยังส่ามารถใช้สารสกัดจากมะเร็งน้ำมาช่วยให้คนไข้หายจากการอาการดื้อยาได้อีกด้วย

               โดยสถาบันผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ชี้ให้เห็นความสามารถของสารสกัดจากทุเรียนน้ำ ดังนี้

                โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาเพราะเป็นผลผลิตตามธรรมชาติทั้งหมด ไม่ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง สูญเสียน้ำหนักและเส้นผมหลุดร่วง เหมือนการทำเคมีบำบัด

                ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อร้ายแรง

                รู้สึกถึงความแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น ตลอดช่วงเวลาของการรักษา

                เพิ่มพลังงานชีวิตและปรับปรุงสภาพร่างกายภายนอกของคนไข้



    วิธีใช้ทุเรียนน้ำ รักษามะเร็ง

               สำหรับการใช้ทุเรียนน้ำเพื่อรักษามะเร็งให้ได้ผลนั้น ให้นำใบทุเรียนน้ำตามธรรมชาติ สด ๆ มารับประทาน โดยคัดเลือกใบที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่แก่หรือมีสีเขียวเข้มมากเกินไป หรือการนำใบแห้งจากกระบวนการอบแห้งด้วยการเป่าลมร้อน (Air Dry) มาชงเป็นชาดื่ม โดยมีวิธีในการชงชาจากใบทุเรียนน้ำ ดังนี้

                ฉีกใบแห้งเป็นชิ้นเล็ก ๆ และตวงให้ได้ 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 1 ลิตร 

                นำใบทุเรียนเทศไปต้มกับน้ำ และลดไฟให้ต่ำ เคี่ยวอีก 20 นาที 

                ใช้ดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร


               โดยให้ดื่มน้ำชาแบบนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย หากดื่มติดต่อกันมานานเกิน 30 วันแล้ว แต่ร่างกายยังไม่ดีขึ้น ให้พักก่อนสัก 1 สัปดาห์จึงค่อยดื่มชาต่อ

    ข้อควรระวังในการรับประทานทุเรียนน้ำ

                1. มีงานวิจัยในแถบทะเลแคริบเบียนที่แสดงให้เห็นว่า ในผล เมล็ด และราก ของทุเรียนน้ำ มีสารแอนโนนาซิน (Annonacin)  ซึ่งมีความเชื่อมโยงสูงต่อการเกิดโรคพาร์คินสัน และมีสารอัลคาลอยด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการทรับประทานผล ราก หรือน้ำผลไม้ที่ทำจากทุเรียนน้ำมากจนเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันทุกวัน

                2. จากการทดลองพบว่า สารสำคัญในทุเรียนเทศนั้นจะไม่สามารถสกัดหรือสังเคราะห์ออกมาได้ ดังนั้นหากต้องการได้รับสารดังกล่าว จะต้องบริโภคแบบธรรมชาติเท่านั้น การทานในรูปแบบของยาอัดเม็ดหรือผลบรรจุแคปซูลนั้นจะไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ เลยทั้งสิ้น

                3. การทานทุเรียนน้ำให้ได้ประโยชน์นั้น ควรจะต้องรับประทานแบบธรรมชาติ หรือรับประทานสด ๆ เท่านั้น ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากทุเรียนน้ำที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้กระป๋อง หรือใบชาบดผ่านกระดาษกรอง เพราะกระบวนการในการผลิตเหล่านั้นล้วนแต่ทำให้ประสิทธิภาพของทุเรียนน้ำลดลง

                4. การรักษามะเร็งให้ได้ผลจะต้องนำใบ หน่อ และกิ่ง ของต้นทุเรียนน้ำ มาต้มทำเป็นชา ขณะที่การนำผลของทุเรียนน้ำมาต้มเป็นชานั้นไม่ได้ให้ผลใด ๆ ในการรักษามะเร็ง เนื่องจากมีสารที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเซลล์มะเร็งอยู่น้อย 


               เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับสุดยอดสมุนไพรพิฆาตมะเร็ง อีกหนึ่งทางเลือกจากธรรมชาติ ที่นอกจากจะนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังสามารถนำได้ใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคอื่น ๆ รวมทั้งบำรุงร่างกายได้สารพัด แต่ก็ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่าการรับประทานทุเรียนน้ำให้ได้ผลจริง ๆ นั้นจะต้องทานทุเรียนน้ำจากธรรมชาติเท่านั้น เพราะการทานทุเรียนน้ำในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่าง ๆ นั้น นอกจากจะบันทอนสรรพคุณของทุเรียนน้ำแล้ว เราอาจจะไม่ได้รับสารอันเป็นประโยชน์ใด ๆ จากทุเรียนน้ำเลยก็ได้ 
Add to Cart More Info